เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๓ ก.ค. ๒๕๕๔

 

เทศน์เช้า วันที่ ๓ กรกฎาคม ๒๕๕๔
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

หลวงตาบอกว่าฟังเทศน์หาฟังยาก แต่เพราะเราเกิดเป็นมนุษย์พบพุทธศาสนา เดี๋ยวนี้สื่อมันดี เห็นไหม ออกไปทั่ว แต่เทศน์อย่างนั้น เวลาเทศน์หลวงตาท่านพูดอยู่ ก่อนที่ท่านจะเรียนเป็นมหานะ ท่านฟังเทศน์สมเด็จ เจ้าฟ้า เจ้าคุณนี่เข้าใจไปหมดเลย แต่เวลาท่านออกประพฤติปฏิบัตินะ พอไปฟังเทศน์หลวงปู่มั่นครั้งแรกท่านบอกฟังไม่เข้าใจ ท่านฟังไม่เข้าใจ ท่านบอก แล้วท่านก็ถามตัวท่านเองว่า

“เรานี่ฟังเทศน์เจ้าฟ้า เจ้าคุณมาหมดแล้ว เข้าใจหมด แล้วเรียนหนังสือจนจบเป็นขั้นของมหา ทำไมมาฟังเทศน์หลวงปู่มั่นไม่เข้าใจเลย”

เทศน์! ถ้าเทศน์ตามคำบอกเล่า อ่านหนังสือ อ่านธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ธรรมและวินัย อันนั้นเป็นความผิดไหม? ไม่ เป็นความถูกต้องดีงาม เพราะว่าธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่สุดยอดมาก สุดยอด ถ้าไม่มีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะไม่มีพุทธศาสนา เพราะมีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมาแล้ว ถึงมีพุทธศาสนา

ทีนี้พุทธศาสนาเป็นธรรมวินัยที่ท่านได้บัญญัติไว้ให้มาอีก ๕,๐๐๐ ปี ทีนี้พอเราเข้าใจ เราไปศึกษาใช่ไหม? เราฟัง เห็นไหม สิ่งนั้นหลวงตาท่านบอกว่า “เป็นกิริยาของธรรม” กิริยาคือสิ่งที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรารถนา คือปรารถนาชี้เข้ามาที่หัวใจของเรา ให้เราได้สัมผัส ฉะนั้น สิ่งที่ชี้เข้ามาในหัวใจ มันเป็นวิธีการมันไม่ใช่ผล

นี่คำว่านิพพานๆ แล้วก็เอานิพพานมาเถียงกันนะ นิพพานเป็นอย่างนั้น นิพพานเป็นอย่างนั้น คำว่านิพพานคือเป้าหมาย แต่คำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ให้เสียสละ ให้กตัญญู ให้กตเวที ให้มีความมั่นคง เสร็จแล้วให้ค้นหาตัวเอง

การค้นหาตัวนะ ถ้าเราทำความสงบของใจ นี่อย่างเช่นวันนี้ไปเลือกตั้ง ทำใจให้นิ่งๆ แล้วพิจารณาของเรา อะไรผิด อะไรถูก สิทธิเสรีภาพของเรา แล้วเราก็พิจารณาของเราสิ ถ้าจิตใจเราสงบนะเราจะมีปัญญา ถ้าจิตใจเราสลบนะเราจะเป็นขี้ข้าเขา จิตใจมันสลบ ทำสิ่งใดก็ว่างๆ ว่างๆ มันไม่มีปัญญาหรอก สังเกตได้ไหมเวลาจิตใจมันสลบ นี่มันโดนกิเลสตัณหาความทะยานอยากเหยียบย่ำมัน ครอบงำมัน แล้วมันจะมีอะไรเป็นอิสรภาพล่ะ?

แต่ถ้าจิตใจมันสงบนะ ศีล สมาธิ ปัญญา เห็นไหม ถ้ามีพื้นฐานของความสงบ ความสงบนี้มันทำให้เราเป็นอิสรภาพ ถ้ามันสงบปั๊บเราจะเป็นอิสรภาพชั่วคราว แล้วถ้าเราใช้ปัญญาขึ้นไป เวลาจิตใครสงบนะ อู้ฮู.. อู้ฮู.. เลยนะ แล้วก็อยากได้อย่างนี้อีก อยากได้อย่างนี้อีก แล้วมันไม่ได้ ไม่ได้เพราะอะไร? เพราะอยากได้ พออยากได้ ความอยากได้นั้นมันกระทุ้ง เห็นไหม

เวลาจิตของเรา ถ้าเรามีสติ มีปัญญาควบคุม พอควบคุมนี่เหตุและผลคือธรรม ธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ เราทำสมดุลของเราแล้ว มันจะลงสู่ความสงบของใจ แล้วพอความสงบของใจมันได้สัมผัส มันลึกลับซับซ้อน เพราะสิ่งนี้.. นี่ไง “สุขอื่นใดเท่ากับจิตสงบไม่มี” แล้วจิตสงบ ตัวมันเองมันสงบ เห็นไหม ใครมีอำนาจเหนือมันได้

จิตตัวมันสงบนะ ถ้าจิตใจมันสงบ แต่เราไปอยาก เห็นไหม อยากคืออะไร? อยากคือตัณหาความทะยานอยาก อยากคือขันธ์ อยากคือสิ่งที่เป็นสัญญาความจำ มันไปอยากมันออกมาจากจิต เวลาจิตเสวยอารมณ์จิตมันจะเสวยความคิด จิตมันเคยเสวยผลที่มันเคยได้รับ แล้วสิ่งที่มันได้รับมันก็อยาก แล้วมันอยากมันก็พุ่งออกไป มันก็ไปเรื่อยแหละ แต่ถ้ามันตั้งสตินะ เราตั้งสติด้วยคำบริกรรมด้วย เห็นไหม หนามยอกเอาหนามบ่งนะ

เวลาหนามทิ่มเท้าเราต้องบ่งออก เจ็บแปลบๆๆ เลย เจ็บมากแต่ต้องบ่งมันออก ถ้าไม่บ่งหนามออกนะเท้านั้นจะเสียเลย ถ้าเป็นบาดทะยักนะถึงกับตายได้.. จิต! มันมีอวิชชาอยู่ที่ตัวมัน แล้วเอาอะไรไปบ่งมัน ไอ้นี่แผลก็ไม่ให้แตะ หนามก็ไม่ต้องไปดูมัน หัวหนามปักอยู่ที่ไหนก็ไม่ต้องรู้ ออกไปข้างนอกไปหมดเลย

นี่ไงกิริยา ที่ว่าธรรมวินัยนี้เป็นกิริยาของธรรม คือสิ่งที่ออกมาจากใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางธรรมและวินัยนี้ไว้ แล้วธรรมวินัยนี้เราไปศึกษาแล้วมันให้ปฏิบัติ มันจะทวนกระแสกลับเข้ามาที่ใจ แต่พอเราไปปฏิบัติแล้วนะเรารู้แล้ว เห็นไหม มันก็บอกว่าหัวหนามมันอยู่ที่จิต หนามนี่มันทิ่มอยู่ อวิชชาปักอยู่คาอยู่ที่หัวใจ แต่มันไปศึกษานะ ศึกษาคือใคร? ศึกษาตำราใช่ไหม? ตำราคือสิ่งที่มาข้างนอกใช่ไหม? ศึกษาไปเรื่อย ศึกษาไปเรื่อย

นี่ไงเวลาฟังธรรม สิ่งที่ฟังธรรม ถ้าจิตเราสงบเราจะมีสติปัญญาของเรา แต่ถ้าเราฟังธรรมแล้ว เรามีความรื่นเริงอาจหาญ เราเป็นชาวพุทธ เห็นไหม นี่เวลาใครฟังแล้วสะเทือนใจนะ นั่นล่ะมันสะเทือนกิเลส แต่เวลาใครฟังนะบอกว่าหลวงพ่อเลิกเถอะ หลวงพ่อกินข้าวซะจะกลับบ้าน หนวกหู

นี่คนเราฟังมันแตกต่างกัน จิตใจของคน วุฒิภาวะของคนมันแตกต่างกัน แต่ถ้ามันสะเทือนใจ เห็นไหม พอมันสะเทือนใจเราก็อยากจะประพฤติปฏิบัติ ถ้าเราอยากประพฤติปฏิบัติ เราพยายามบังคับตัวเรา เราเห็นคุณไง เวลาเรากินยานะ ยามันขม ยานี่มีรสฝาด แต่เราพยายามกินเพื่อเอายานั้นรักษาไข้ของเรา

เวลาเราประพฤติปฏิบัติ เห็นไหม ไม่มีใครมีความสะดวกสบายไปซักอย่าง ถ้ามีความสะดวกสบาย มันเป็นเรื่องของความมักง่ายทั้งนั้นแหละ แล้วความมักง่ายมันจะเข้าไปถึงความจริงได้อย่างไร?

ฉะนั้น เราจะฝืนไปตลอด ฝืนเราคือฝืนกิเลส ถ้าฝืนเราคือฝืนกิเลส เห็นไหม มันจะไม่มีสลบ ไม่หลับใหลไปกับอวิชชาไง ถ้ามันสลบหลับใหลนะ พอสลบแล้วมันก็ลงภวังค์ พอภวังค์แล้วมันก็หายไปเลยเป็นชั่วโมงๆ นะ

“โอ้โฮ.. นั่งเมื่อกี้นี้มันสุดยอด อู้ฮู.. มันดีไปหมดเลย”

มันสลบไป ฟื้นมามันยังไม่รู้ตัวนะ แต่ถ้ามีสติปัญญาขึ้นมานี่มันชัดเจนเข้าไป ชัดเจนเข้าไป เห็นไหม ถ้าจิตสงบ.. ศีล สมาธิ ถ้ามีสมาธินะเราหัดฝึกฝนการใช้ปัญญา สมาธิจะเกิดปัญญาเองไม่ได้ ถ้าคนอ่อนแอได้สมาธินะ มันจะบอกว่าสมาธินั้นคือนิพพาน เพราะมันเป็นความลึกลับมหัศจรรย์มากนะ คนถ้าจิตใจอ่อนแอ จิตใจที่ไม่เข้มแข็ง พอเจอสมาธินี่

“โอ้โฮ.. ได้สัมผัสนิพพาน อู้ฮู.. นิพพานมันว่าง อู้ฮู.. นิพพานมันมีความสุข”

นั่นล่ะคือนิพพานของเขา เพราะจิตใจของเขาอ่อนแอ แต่ถ้ามีครูบาอาจารย์นะ ครูบาอาจารย์จะคอยชี้นำ จะคอยชี้แนะ จะคอยบอกขึ้นมาให้เขาได้ทดสอบ ถ้ามันเป็นนิพพาน เวลาคลายออกจากสมาธิมาแล้ว ทำไมความรู้สึกนึกคิดเราไม่เปลี่ยนแปลงเลยล่ะ? สิ่งที่มันเผาลนหัวใจเรามันได้แก้ไปไหมล่ะ? อย่างนี้มันไม่ใช่.. ถ้าไม่ใช่เราจะทำอย่างไรล่ะ?

กรณีอย่างนี้นะ พวกเราเคารพครูบาอาจารย์ ใจลงครูบาอาจารย์เพราะว่าครูบาอาจารย์ของเรานี่นะได้ประพฤติปฏิบัติขึ้นมา แล้วเวลาประเพณีของกรรมฐานเรา เห็นไหม เราจะแทนคุณด้วยการนวดเส้น ด้วยการสรงน้ำท่าน ด้วยการอุปัฏฐากท่าน แล้วถ้าเราไปคลุกคลีกับท่าน ท่านก็จะบอกเคล็ดไง เวลาอะไรไปสัมผัสใจท่านก็จะบอกว่า

“ท่านเคยทุกข์มาอย่างนี้ ท่านเคยลำบากมาอย่างนี้ ท่านเคยหลงไปอย่างนี้”

อย่างนี้มันเป็นคติธรรม มันเป็นการคอยเตือนใจพวกเรา คอยเตือนใจพวกเราว่าท่านมีบารมีขนาดนี้ ท่านยังผิดพลาดได้ขนาดนี้ ความผิดพลาดนั้นเราเอามาเป็นคติธรรมเตือนตัวเราเองว่าถ้าเราเจอประสบการณ์อย่างนี้ มันเลยทำให้เรากลัว กลัวเรื่องความสลบไสลไปแล้วเชื่อว่าตัวเองได้ทำไง

ฉะนั้น เรามีครูมีอาจารย์ ครูบาอาจารย์จะคอยชี้แนะเรา แล้วครูบาอาจารย์ท่านผ่านมาแล้ว การผ่านมานะ คนทำงานเหนื่อยไหม? เราทำงานอาบเหงื่อต่างน้ำ กว่าจะได้เงินได้ทองมามันลำบากลำบนแค่ไหน? แล้วมีคนเขาเดินไปเดินมา เขาบอกเขาเก็บเงินเก็บทองมาเต็มกระเป๋าเลยนี่ เราจะเชื่อเขาไหม? ถ้าเป็นขิปปาภิญญาเขาไม่เป็นแบบนั้น คนถ้าเก็บเงินเก็บทองมา เงินทองของเขา เขาต้องเก็บรักษาไว้ เขาไม่มาอวดมาโชว์กันหรอก

เงินทองนะ ดูสิมีทองเท่าหนวดกุ้ง นอนสะดุ้งจนเรือนไหว มีเงินมีทองเดี๋ยวโจรมันจะปล้นเอา มันจะลักเอา เขามีเงินมีทองเขาเก็บไว้ เขาดูแลของเขาไว้ นี่คนมีสติสตังนะ คนที่เป็นธรรมนะ สติสมบูรณ์ ทุกอย่างสมบูรณ์ ควรและไม่ควรเขาพูดได้ เขารู้ได้ของเขา แต่ถ้าเราทำอาบเหงื่อต่างน้ำขนาดนี้ ทองเท่าหนวดกุ้งยังหาเกือบตาย แล้วเขาไม่ต้องทำอะไรเลย เขามีทองเป็นตันๆ อืม.. มันมาจากไหนก็ไม่รู้

ทองโดยสามัญสำนึก โดยคิดเอา แต่ข้อเท็จจริงตัวทองมันไม่มี ถ้ามันไม่มีนะ คำพูดกับการกระทำ เห็นไหม โลกเขาพูดกัน นี่ทำงานที่ปาก พอทำงานที่ปาก เราทำงานด้วยมือของเรา เราทำงานด้วยสมองของเรา เราจะต้องตั้งใจทำตามความเป็นจริงของเรา เราทำเพื่อประโยชน์กับเรานะ ทำเพื่อประโยชน์กับเรา แล้วเราจะได้ประโยชน์กับทุกๆ คน

เราเป็นคนดีคนหนึ่ง เราอยู่ในสังคมเราไม่เบียดเบียนใคร เรามีจิตใจสาธารณะ เราช่วยเหลือเจือจานเขา เรามีกำลังช่วยเหลือใครได้เราก็ช่วยเหลือ เราช่วยเหลือใครไม่ได้เราก็ปลงธรรมสังเวชนะ นี่เราคิดแล้วเราสะเทือนใจไง เราให้กำลังใจเขา เห็นไหม

คนดีคนหนึ่ง เราเป็นคนดีคนหนึ่ง สังคมนั้นได้บุคลากรที่ดี สังคมนั้นจะร่มเย็นเป็นสุข สังคมนั้นจะเข้มแข็ง ไม่ใช่ว่าเราดีคนหนึ่งแล้ว อู๋ย.. เห็นแก่ตัว เอาแต่ได้ เห็นแก่ตัว.. คนเห็นแก่ตัวทำให้สังคมกระทบกระเทือน คนเห็นแก่ตัวนี่เบียดเบียนคนอื่น ทำลายคนอื่น คนเห็นแก่ตัวทำไมมีจิตใจเป็นสาธารณะ คนเห็นแก่ตัวทำไมเจือจานคนอื่น

นี่ไงเวลากิเลสมันพูดนะ คนโง่มันมาก เวลากิเลสมันพูดมันไม่ยอมรับความจริงง่ายๆ หรอก ฉะนั้น บารมีธรรมนี่เราทำเพื่อเรานะ ทำบุญทิ้งเหว ทำบุญทิ้งเหวนะ ทำบุญแล้วอย่าเสียใจ อย่าน้อยใจว่าเขาไม่ว่าเราดี เขาไม่ว่าเราดี เขาจะว่าเราดีหรือไม่ว่าเราดีมันไม่เป็นความจริงไง ความจริงคือเราทำ มันจะดีหรือไม่ดีมันอยู่ที่เราทำนี่

เราทำดีของเรานะ ใครจะว่าดีว่าชั่ว โลกธรรม ๘ ธรรมะเก่าแก่ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านเตือนพระนะ

“เวลาใครโดนโลกธรรมแล้วอย่าเสียใจนะ ถ้าใครไม่มีกำลังนะให้ดูเราเป็นตัวอย่าง”

คือให้ดูองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นตัวอย่าง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นศาสดา ไปเผยแผ่ธรรมนี่เขาจ้างคนมาด่า เขาจ้างคนมายิง เขาจ้างคนมาฆ่า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าโดนมาหมด พวกเราชาวพุทธ เราก็เคารพใช่ไหมว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเราประเสริฐเลอเลิศใช่ไหม เราเคารพบูชากันนะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าคงจะสะดวกสบายนะ

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นพระอรหันต์นะ เป็นศาสดาด้วย เขาจ้างคนมาด่า เขาจ้างคนมาว่าทั้งนั้นเลย ไปดูในพระไตรปิฎก เห็นไหม ฉะนั้น ถ้าเราโดนโลกธรรม ๘ ติฉินนินทา.. นี่จริงหรือเปล่า? ถ้าไม่จริงเรื่องของเขา เราทำตัวของเรา

นี่โลกธรรม ๘ ธรรมะเก่าแก่ มีมาก่อนที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะตรัสรู้ แล้วก็มีในปัจจุบัน แล้วจะมีไปอนาคต อันนี้เป็นโลกธรรมไม่ใช่อริยสัจ อริยสัจคือเรามีสติ มีปัญญาของเรา มีสมาธิของเรา แล้วแก้ไขเรา ให้จิตใจเราสงบร่มเย็น แล้วให้จิตใจเรามองโลก มองต่างๆ แล้วเราไม่เป็นเหยื่อไปกับเขาไง นี่สลบไสลไปเลย ใครจะจูงจมูกก็ได้ จมูกขาดแล้วก็ยังให้เขาจูงอยู่อีก อันนั้นเป็นเรื่องของโลกนะ

นี่สิทธิของเรา ความเห็นของเรา ปัญญาของเรา.. ปัญญา ปฏิภาณไหวพริบ เห็นไหม ดูพระอรหันต์สิ เวลาเป็นปฏิภาณปฏิสัมภิทาญาณ นี่มีปฏิภาณ มีต่างๆ ยังเป็นคนละประเภทเลย ฉะนั้น เราฝึกของเรา เราดูแลของเรา เราเอาหัวใจของเรา เพื่อประโยชน์กับเราเนาะ

นี้คือชีวิตของเรา นี้ฟังธรรม ฟังธรรมคือฟังเรื่องความรู้สึกเรานี่แหละ ความรู้สึกในหัวใจเรานี้ที่มันลังเลสงสัย ที่มันจะแก้ไข ธรรมะจะแก้ไขตรงนี้ นี้คือธรรม สิ่งที่โยมทำบุญนี้เขาเรียกศาสนวัตถุ เห็นไหม ศาสนวัตถุ ศาสนพิธี ศาสนธรรม แล้วเราจะเอาศาสนาอะไร?

นี่ศาสนบุคคล นี้เป็นบุคคล ธรรมะคือสัจธรรม คืออริยสัจ นั้นคือธรรมแท้ๆ เอวัง